top of page

นบียูซุฟ (อะลัยฮิสสลาม)

  • Writer: จักรินทร์ แม้นมินทร์
    จักรินทร์ แม้นมินทร์
  • Aug 23, 2017
  • 5 min read

จากซูเราะฮฺ ยูซุฟ (Yusuf) ซูเราะฮฺลำดับที่ 12

3. เราจะเล่าเรื่องราวที่ดียิ่งแก่เจ้า ตามที่เราได้วะฮีอัลกุรอานนี้แก่เจ้า และหากว่าก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ในหมู่ผู้ไม่รู้เรื่องราว(*1*)

(1) ท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่มีทางที่จะรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตเลยหากไม่มีการประทานวะฮีลงมาเพราะท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นผู้อ่านไม่ออกเขียนไม่เป็น

4. จงรำลึกขณะที่ยูซุฟกล่าวแก่พ่อของเขาว่า “โอ้พ่อจ๋า! แท้จริงฉันได้ฝันเห็นดวงดาวสิบเอ็ดดวง และดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ฉันฝันเห็นพวกมันสุญูดต่อฉัน”(*1*)

(1) อิบนุอับบาสกล่าวว่า “การฝันเห็นในเรื่องนี้เป็นวะฮี” นักตัฟซีรกล่าวว่า “ดวงดาวสิบเอ็ดดวงหมายถึงพี่น้องของเขาดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หมายถึงพ่อแม่ของเขา ขณะนั้นยูซุฟมีอายุได้ 12 ขวบ ระยะเวลาระหว่างการฝันของเขากับการพบปะพ่อแม่ของเขาและพี่น้องของเขาในอียิปต์เป็นเวลา 40 ปี”

5. เขา(ยะอฺกูบ) กล่าวว่า “โอ้ลูกรักเอ๋ย ! เจ้าอย่าเล่าความฝันของเจ้าแก่พี่น้องของเจ้า(*1*) เพราะพวกเขาจะวางอุบายแก่เจ้าอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม แท้จริงชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูที่ชัดแจ้งกับมนุษย์"

(1) อะบูหัยยานกล่าวว่า “ยะอฺกูบตระหนักดีถึงการฝันของยูซุฟว่า อัลลอฮฺ ตะอาลา จะประทานความรู้ความสามารถแก่เขา จะทรงคัดเลือกเขาให้เป็นนะบี จะโปรดปรานให้ได้รับเกียรติทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ ยะอฺกูบจึงกลัวและห่วงใยจากการอิจฉาของพี่น้องของเขา จึงห้ามเขามิให้เล่าความฝันของเขาแก่พี่น้องของเขา"

6. และเช่นนั้นแหละพระเจ้าของเจ้าทรงเลือกเจ้า และทรงสอนเจ้าให้รู้วิชาทำนายฝัน และทรงให้สมบูรณ์ซึ่งความโปรดปรานของพระองค์แก่เจ้าและวงศ์วานของยะอฺกูบ เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงให้สมบูรณ์ ซึ่งความโปรดปรานแก่ปู่ทั้งสองของเจ้าแต่ก่อน คืออิบรอฮีมและอิสฮาก แท้จริงพระเจ้าของเจ้าเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ

7. แท้จริงเกี่ยวกับยูซุฟและพี่น้องของเขานั้น มีสัญญาณทั้งหลายสำหรับผู้สอบถาม(*1*)

(1) เรื่องราวของยูซุฟและพี่น้อง 11 คนของเขานั้น เป็นบทเรียนและข้อตักเตือนแก่ผู้ที่ถามถึงข่าวคราวความเป็นมาของพวกเขา

8. จงรำลึกขณะที่พวกเขากล่าวว่า “แน่นอนยูซุฟและน้องของเขาเป็นที่รักแก่พ่อของเรายิ่งกว่าพวกเราทั้ง ๆ ที่พวกเรามีจำนวนมากแท้จริงพ่อของเราอยู่ในการหลงผิดจริง ๆ (*1*)

(1) นี่คือการทดสอบครั้งแรกของยูซุฟ อะลัยฮิสสลาม ขณะที่พี่น้องของเขากล่าวแก่พ่อของเขาว่า วัลลอฮี่แท้จริงยูซุฟและน้องเของเขาที่ชื่อบินยามีน เป็นที่รักและโปรดปรานแก่พ่อของเรายิ่งกว่าพวกเรา หมายถึงว่า วามรักของพ่อเราที่มีต่อเขาทั้งสองนั้นมากยิ่งกว่าที่มีต่อพวกเรา อันนี้เป็นของแน่นอนปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น

9. “พวกท่านจงฆ่ายูซุฟ หรือเอาไปทิ้งในที่เปลี่ยวเสีย เพื่อความเอาใจใส่ของพ่อของพวกท่านจะเกิดขึ้นแก่พวกท่าน และพวกท่านจะเป็นกลุ่มชนที่ดีหลังจากเขา”(*1*)

(1) อัรรอซีกล่าวว่า ความหมายคือ ความจริงยูซุฟนั้นทำให้พ่อของเราไม่สนใจพวกเรา แต่เอาใจใส่เป็นพิเศษแก่เขา เมื่อใดยูซุฟหายหน้าไปจากเรา ก็จะทำให้พ่อของเราหันมาสนใจและให้ความรักพวกเรา หลังจากนั้นพวกเราก็กลับเนื้อกลับตัวสารภาพผิด แล้วเราก็จะเป็นคนดี

10. คนหนึ่งในพวกเขากล่าวว่า(*1*) พวกท่านอย่าฆ่ายูซุฟ แต่จงโยนเขาลงในบ่อลึก เพื่อผู้เดินทางบางคนจะได้เอาเขาออกมา หากพวกท่านจำต้องกระทำเช่นนั้น”

(1) คือพี่ชายคนโตของพวกเขาที่ชื่อยะฮูซา ความเห็นของเขานี้มีความเลวน้อยกว่าความเห็นของคนอื่น ๆ

11. พวกเขากล่าวว่า “โอ้คุณพ่อของเรา! ทำไมท่านจึงไม่ไว้ใจเราที่มีต่อยูซุฟ และแท้จริงเรานั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ใจต่อเขา”(*1*)

(1) ความหมายคือ มีอะไรเกิดขึ้นกับท่านจนกระทั่งท่านไม่ไว้ใจเราต่อยูซุฟ ทั้ง ๆ ที่เราทั้งหมดก็เป็นลูกของท่าน นอกจากนั้นพวกเราก็รักเขาและมีเจตนาดีต่อเขา

12. พรุ่งนี้ขอให้ส่งเขาไปกับเรา เพื่อเขาจะกินให้อิ่มและเล่นอย่างสนุก และแท้จริงเรานั้นจะเป็นผู้คุ้มกันเขา”(*1*)

(1) พวกเราจะคุ้มกันรักษาเขาให้พ้นจากความชั่วร้ายและภยันตรายทั้งหลาย

13. เขากล่าวว่า “แท้จริงมันจะทำให้ฉันเศร้าใจ เมื่อพวกเจ้าจะเอาเขาไป และฉันกลัวว่า สุนัขป่าจะกินเขา ขณะที่พวกเจ้ามิได้เอาใจใส่ต่อเขา”(*1*)

(1) ยะอฺกูบได้กล่าวแก่พวกเขาว่า ความจริงการจากไปของยูซุฟนั้นทำให้ฉันไม่สบายใจเพราะฉันทนดูไม่ได้ และอีกอย่างหนึ่งก็คือ ฉันกลัวว่าหมาป่าจะมาตะครุบเขาไป เมื่อพวกเธอเล่นกันอยู่อย่างเพลิดเพลิน

14. พวกเขากล่าวว่า “หากสุนัขป่ากินเขาทั้ง ๆ ที่พวกเรามีจำนวนมาก ดังนั้นแท้จริงพวกเราเป็นผู้ขาดทุนแน่นอน”

15. เมื่อพวกเขาพาเขาไป พวกเขาตกลงกันว่าจะเอาเขาไปโยนในบ่อลึก และเราได้วะฮีแก่เขาว่า ”แน่นอน เจ้าจะได้เล่าแก่พวกเขาถึงการกระทำของพวกเขาในครั้งนี้ โดยที่พวกเขาไม่รู้สึก”(*1*)

(1) อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงแจ้งแก่ยูซุฟว่า เจ้าบอกพี่น้องของเจ้าถึงการกระทำของพวกเขาครั้งนี้ ซึ่งการกระทำของพวกเขาต่อเจ้านั้น โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวในขณะนั้นว่าเจ้าคือยูซุฟ อัรรอซีย์ กล่าวว่า ประโยชน์ของการวะฮีแก่ยูซุฟนี้ ก็เพื่อเป็นการปลอบใจให้เขามีความอบอุ่น และปลดเปลื้องความทุกข์ร้อนและความสันโดษ และในที่สุดเขาก็จะรอดพ้นจากการทดสอบครั้งนี้

16. และพวกเขาได้กลับมาหาพ่อของพวกเขาเวลาค่ำ พลางร้องไห้(*1*)

(1) มีรายงานเล่าว่า เมื่อยะอฺกูบได้ยินเสียงร้องไห้ของพวกเขา ก็จะตกใจและกล่าวขึ้นว่า มีอะไรเกิดขึ้นหรือลูกเอ๋ย! ยูซุฟอยู่ไหนเล่า?

17. พวกเขากล่าวว่า “โอ้พ่อของเรา ! พวกเราได้ออกไปวิ่งแข่งกัน และเราได้ปล่อยยูซุฟไว้เฝ้าสิ่งของ ๆเรา แล้วสุนัขป่าได้มากินเขาและท่านย่อมไม่เชื่อเราทั้ง ๆ ที่เราเป็นผู้สัตย์จริง”

18. และพวกเขาได้นำเสื้อของเขามา มีเลือดปลอมติดอยู่(*1*) “แต่ว่าพวกเจ้าได้แต่งเรื่องขึ้นเพื่อพวกเจ้า ดังนั้น การอดทนเป็นสิ่งที่ดีและอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือในสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวอ้าง”(*2*)

(1) อิบนุอับบาสกล่าวว่า พวกเขาได้ฆ่าแกะตัวหนึ่งแล้วเอาเสื้อของยูซุฟไปกลั้วเลือดแกะเมื่อพวกเขากลับมาหายะอฺกูบพ่อของพวกเขา เขาได้กล่าวว่า พวกเจ้าโกหก ถ้าหมาป่ากัดกินยูซุฟจริงแล้วเสื้อของเขาจะขาด อีกรายงานหนึ่งกล่าวว่า เขากล่าวว่า ฉันไม่คิดเลยว่าหมาป่าตัวนี้จะกัดกินลูกของฉันและจะไม่ทิ้งเสื้อของเขา

(2) อัลลอฮ์ ตะอาลา เป็นผู้ช่วยเหลือฉันให้มีความอดกลั้นในสิ่งที่พวกเจ้าพูดโกหก

19. และคณะเดินทางได้มาถึง(*1*) ดังนั้นพวกเขาได้ส่งคนแบกน้ำของพวกเขา(ไปตักน้ำจากบ่อ) เขาได้หย่อนถังของเขาลงไป(ในบ่อ)เขากล่าวว่า “โอ้ข่าวดีจ๊ะ! นี่มันเด็กนี่(*2*) และพวกเขาได้ซ่อนเขาไว้เป็นสินค้า และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขากระทำ

(1) คณะเดินทางได้ผ่านมาทางนั้น อินนุอับบาสกล่าวว่า คณะเดินทางได้เดินทางมาจากมัดยันไปยังอียิปต์ ได้หลงทางพลัดมาทางนั้นและได้แวะพักที่นั่น ใกล้กับบ่อที่ยูซุฟถูกโยนลงไป บ่อนั้นอยู่ในสถานที่เปลี่ยวห่างไกลจากตัวเมือง (2) นักตัฟซีรกล่าวว่า เมื่อคนตักน้ำหย่อนถังลงไปในบ่อ ยูซุฟซึ่งอยู่ก้นบ่อเห็นสายเชือกเขาจึงไต่ขึ้นมา และเมื่อเขาเห็นความงามของยูซุฟ เขาจึงต้องร้องอุทานออกมา

20. และพวกเขาได้ขายเขาด้วยราคาถูก นับได้ไม่กี่ดิรฮัม และพวกเขาเป็นผู้มักน้อย(*1*)

(1) นี่คือการทดสอบครั้งที่สองในชีวิตของยูซุฟ อัศศิดดีก คือการทดสอบการเป็นทาส คณะเดินทางซึ่งได้เอาเขาขึ้นมาจากบ่อขายเขาด้วยราคาเพียง 20 ดิรฮัม ตามคำบอกเล่าของอิบนุอับบาส

21. และผู้ที่ซื้อเขามาจากอียิปต์(*1*) กล่าวกับภริยาของเขาว่า “จงให้ที่พักแก่เขาอย่างมีเกียรติ บางทีเขาจะทำประโยชน์ให้เราได้บ้างหรือรับเขาเป็นบุตร” และเช่นนั้นแหละเราได้ทำให้ยูซุฟมีอำนาจในแผ่นดิน(*2*) และเพื่อเราจะได้สอนให้เขารู้วิชาทำนายฝัน และอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้พิจิตในกิจการของพระองค์ และแต่ว่าส่วนใหญ่ของมนุษย์ไม่รู้

(1) ผู้ที่ซื้อยูซุฟขื่อ “กีฏฟรี” มีตำแหน่งหน้าที่เกี่ยวกับการคลังของอียิปต์ (2) เช่นเดียวกับที่อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงช่วยให้เขาขึ้นมาจากบ่อ พระองค์ก็จะทรงให้เขามีอำนาจในแผ่นดินอียิปต์ โดยใช้ชีวิตอยู่อย่างมีเกียรติและปลอดภัย

22. แลเมื่อเขาบรรลุวัยหนุ่มฉกรรจ์ของเขา(*1*) เราได้ให้ความสุขุมรอบคอบและวิชาการแก่เขาและเช่นนั้นแหละ เราตอบแทนแก่บรรดาผู้กระทำความดี

(1) คือมีอายุประมาณ 30 ปี

23. และนางได้ยั่วยวนเขาโดยที่เขาอยู่ในบ้านของนาง(*1*) และนางได้ปิดประตูอย่างแน่นและกล่าวว่า”มานี่ซิ!“ เขากล่าวว่า “ฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ์ แท้จริงเขาเป็นนายของฉัน ให้ที่พักพิงที่ดียิ่งแก่ฉัน(*2*) แท้จริงบรรดาผู้อธรรมจะไม่บรรลุความสำเร็จ”

(1) นี่คือการทดสอบครั้งที่สาม การยั่วยวนคือการขอร้องอย่างสุภาพและนุ่มนวล นางได้ทำทุกวิถีที่จะขอร้องยูซุฟให้ตกลงปลงใจในการทำชั่วและเลวร้าย

(2) ยูซุฟกล่าวว่า แท้จริงสามีของคุณนั้นเป็นนายของฉัน ซึ่งเขาได้ให้เกียรติฉันและมีบุญคุณแก่ฉันอย่างมากมาย ดังนั้นจะให้ฉันทำชั่วด้วยการทรยศต่อเขาได้อย่างไร?

24. และแท้จริง นางได้ตั้งใจมั่นในตัวเขาและเขาก็ตั้งใจในตัวนาง(*1*) หากเขาไม่เห็นหลักฐานแห่งพระเจ้าของเขา เช่นนั้นแหละเพื่อเราจะให้ความชั่วและการลามห่างไกลจากเขา แท้จริงเขาคือคนหนึ่งในปวงบ่าวของเราที่สุจริต

(1) การตั้งใจมั่นของนางหมายถึงการตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยว ที่จะปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของนาง และมุ่งที่จะบังคับเขาให้ปฏิบัติตามโดยใช้กำลัง ทั้งนี้จะเห็นได้จากการที่นางปิดประตูแล้วเรียกร้องแกมบังคับจนทำให้เขาต้องวิ่งหนีไปที่ประตู ส่วนการตั้งใจของเขา หมายถึงจิตใจโอนอ่อนไปตามสัญชาติญาณของมนุษย์

25. และทั้งสองได้วิ่งไปที่ประตู(*1*) และนางได้ดึงเสื้อของเขาขาดทางด้านหลัง และทั้งสองได้พบสามีของนางที่ประตู นางกล่าวว่า“อะไรคือการตอบแทนของผู้ประสงค์ร้ายต่อภริยาของท่านนอกจากการจำคุกหรือการลงโทษอย่างเจ็บปวด”

(1) และทั้งสองได้วิ่งไปที่ประตู ยูซุฟวิ่งไปเพื่อหนีออก ส่วนนางวิ่งไปเพื่อติดตามเขา

26. เขากล่าวว่า “นางได้ยั่วยวนขืนใจฉัน” และพยานคนหนึ่งในบ้านของนางได้เป็นพยาน ”หากเสื้อของเขาถูกดึงขาดทางด้านหน้า ดังนั้นนางก็พูดจริง และเขาอยู่ในหมู่ผู้กล่าวเท็จ”

27. และหากว่าเสื้อของเขาถูกดึงขาดทางด้านหลัง นางก็กล่าวเท็จ และเขาอยู่ในหมู่ผู้พูดจริง”

28. ดังนั้น เมื่อเขาเห็นเสื้อของเขาถูกดึงขาดทางด้านหลัง เขากล่าวว่า “แท้จริงมันเป็นอุบายของพวกเธอแท้จริงอุบายของพวกเธอนั้นยิ่งใหญ่”

29. ยูซุฟ จงผินหลังให้เรื่องนี้เถิด(*1*) และเธอจงขออภัยโทษในความผิดของเธอ แท้จริงเธออยู่ในหมู่ผู้กระทำผิด”(*2*)

(1) ยูซุฟจงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ อย่าได้ไปบอกกล่าวแก้ผู้ใด (2) นักตัฟซีรบางคนกล่าวว่า ดูเหมือนว่านี่คือรูปแบบของสังคมญาฮีลียะฮ์ โดยถือว่าเรื่องลามกทางเพศเป็นเรื่องธรรมดาอย่างน้อยก็เพียงปกปิดกันเท่านั้น แม้แต่ภริยาของคนใหญ่คนโตในวงราชการกระทำผิด ก็เพียงแต่กล่าว “จงขออภัยโทษในความผิดของเธอ” เพราะเห็นใจเธอที่อยู่อย่างอ้างว้าง

30. และพวกผู้หญิงในเมืองกล่าวว่า(*1*) ภริยาของผู้ว่าฯ ได้ยั่วยวนเด็กรับใช้ของนาง แน่นอนเขาทำให้นางหลงรัก แท้จริงเราเห็นว่านางอยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง”

(1) กล่าวกันว่าเป็นหญิง 5 คน ซึ่งสามีของพวกเธอรับใช้อยู่ในวัง ต่อมาข่าวได้แพร่กระจายไปทั่วเมือง

31. เมื่อนางได้ยินเสียง(กล่าวหา) โจษจรรย์ของนางเหล่านั้น นางจึงส่งคนไปยังนางเหล่านั้นและนางได้เตรียมที่พักพิงสำหรับนางเหล่านั้นและได้นำมีดมาให้ทุกคนในหมู่นางเหล่านั้น(*1*) และนางกล่าว (แก่เขาว่า) “จงออกไปหานางเหล่านั้น” เมื่อนางเหล่านั้นเห็นเขาก็ให้การสรรเสริญและเฉือนมือของพวกนาง(*2*) และเขากล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้ นี่ไม่ใช่มนุษย์เป็นแน่ มิใช่อื่นใดนอกจากมะลักผู้มีเกียรติ”

(1) นางได้เรียกพวกผู้หญิงเหล่านั้นรวม 40 คน รวมทั้งหญิง 5 คนนั้นด้วย ไปในงานเลี้ยงต้อนรับ มาได้แจกมีดแก่ทุกคนเพื่อปอกผลไม้

(2) นางได้ใช้ให้ยูซุฟออกไปเดินผ่านพวกผู้หญิงที่กำลังเพลินอยู่กับการปอกผลไม้ เมื่อพวกผู้หญิงเห็ยยูซุฟก็พากันกล่าวอุทานและกล่าวชมความงามของเขา แล้วเฉือนมือของพวกนางโดยไม่รู้สึกตัว

32. นางกล่าวว่า “นั่นคือสิ่งที่พวกเธอประณามฉันเกี่ยวกับเขา(*1*) และแน่นอนฉันได้ยั่วยวนเขาแต่เขาขัดขวางอย่างแข็งขัน(*2*) และหากเขาไม่ปฏิบัติตามที่ฉันสั่งเขา แน่นอนเขาจะถูกจำคุกและจะอยู่ในหมู่ผู้ยอมจำนน”

(1) นางได้ประกาศขณะนั้นถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวนาง คือความรักที่มีต่อยูซุฟ ทั้งนี้เพราะนางมีความรู้สึกว่า นางประสบชัยชนะเหนือพวกผู้หญิงเหล่านั้น โดยกล่าวว่า นี่แหละคือสิ่งที่พวกเธอได้ประสบกับตาของพวกเธอเองบ่าวชาวกันอานีย์ ที่พวกเธอประณามฉันในความรักของฉันที่มีต่อเขา พวกเธอได้เห็นแล้วมิใช่หรือถึงความงาม ความประหลาดและความยั่วยวน

(2) ฉันต้องการเขาเพื่อให้ได้มาซึ่งความปรารถนาของฉัน แต่เขาได้ขัดขวางอย่างแข่งขันอัลซะมัคชะรีย์กล่าวว่า “การขัดขวางอย่างแข็งขัน” เป็นการบ่งถึงการขัดขวางอย่างสุดความสามารถ และการสงวนท่าทีอย่างแข็งขัน

33. เขากล่าวว่า “โอ้ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ คุกนั้นเป็นที่รักยิ่งแก่ข้าพระองค์กว่าสิ่งที่พวกนางเรียกร้องข้าพระองค์ไปสู่มัน(*1*)และหากพระองค์มิทรงให้อุบายของพวกนางพ้นไปจากข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์อาจจะโน้มเอียงไปหาพวกนาง และข้าพระองค์จะเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้โง่เขลา”(*2*)

(1) ยูซุฟหันไปพึ่งพระเจ้าของเขาด้วยการวิงวอนร้องเรียนอย่างนอบน้อมถ่อมตนว่า… และให้เหตุผลว่าเป็นการกระทำของพวกนาง เพราะพวกนางทั้งหมดมีส่วนร่วมในการเรียกร้องไปสู่การกระทำลามก (2) ในการเรียกร้องวิงวอนของยูซุฟต่อพระองค์นี้ เป็นเสมือนการกระทำของบรรดานะบีและปวงบ่าวที่ดีนั่นเอง

34. ดังนั้น พระเจ้าของเขาได้ตอบรับเขาแล้วพระองค์ทรงให้อุบายของพวกนางหันห่างไปจากเขา แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้(*1*)

(1) ในการตอบรับการวิงวอนครั้งนี้ ยูซุฟก็ผ่านพ้นการทดสอบครั้งที่ 3 ของเขา ด้วยความเมตตาและความคุ้มครองของพระองค์

35. เมื่อเป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาหลังจากที่ได้พบเห็นหลักฐาน (ก็ลงความเห็นว่า) ต้องขังเขาไว้ระยะหนึ่ง(*1*)

(1) นี่เป็นการเริ่มต้นของการทดสอบครั้งที่ 4 และครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นการทดสอบครั้งที่หนักที่สุดในชีวิตของยูซุฟ อัศศิดดีก คือการทดสอบในคุก

36. และชายหนุ่มสองคน(มหาดเล็ก) ได้เข้าคุกพร้อมกับเขา(*1*) หนึ่งในสองคนกล่าวว่า “แท้จริงฉันฝันเห็นว่าฉันคั้นเหล้า” และอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “แท้จริงฉันฝันเห็นว่าฉันแบกขนมปังไว้บนศรีษะของฉัน แล้วนกได้มากินมัน จงบอกเราด้วยการทำนายฝัน แท้จริงเราเห็นท่านอยู่ในหมู่ผู้ทำความดี”

(1) ขณะที่ยูซุฟเข้าไปในคุก ได้มีคนรับใช้ในวัง 1 คนเข้าไปในคุกด้วย คือ คนทำขนมปังและคนเสิร์ฟน้ำ โดยถูกกล่าหาว่ามอมยาพิษในอาหาร

37. เขากล่าวว่า “อาหารที่ท่านทั้งสองจะได้รับจะยังไม่มาถึงท่านทั้งสอง เว้นแต่ฉันจะบอกกับท่านทั้งสองเป็นการทำนายมัน ก่อนที่มันจะมาถึงท่านทั้งสอง(*1*) นั่นแหละคือสิ่งที่พระเจ้าของฉันทรงสอนฉัน(*2*) แท้จริงฉันได้ละทิ้งแนวทางของกลุ่มชนผู้ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และพวกเขาเป็นพวกที่ปฏิเสธศรัทธาต่อวันปรโลก

(1) ยูซุฟได้บอกชายหนุ่มทั้งสองถึงสิ่งที่เป็นปาฏิหาริย์ เช่น ความรู้ของเขาเกี่ยวกับสิ่งพ้นญาณวิสัย ทั้งนี้เพื่อเชิญชวนหนุ่มทั้งสองไปสู่การศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา

38. และฉันได้ดำเนินตามแนวทางของบรรพบุรุษของฉัน คือ อิบรอฮีมและอิสฮากและยะอฺกูบ(*1*) ไม่เป็นการบังควรแก่เราที่จะตั้งภาคีด้วยสิ่งใดต่ออัลลอฮ์ นั่นคือความโปรดปรานของอัลลอฮ์แก่เราและมนุษยชาติ(*2*) แต่ส่วนใหญ่ของมนุษย์ไม่ขอบคุณ

(1) เราปฏิบัติตามศาสนาของบรรดานะบี มิใช่ศาสนาของพวกตั้งภาคีและพวกหลงทางจุดมุ่งหมายก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาสืบเชื้อสายมาจากตระกูลของนะบี เพื่อให้ชายหนุ่มทั้งสองรับฟังและเชื่อถือคำพูดของเขา

(2) การศรัทธาและการให้ความเป็นเอกภาพแด่อัลลอฮ์นั้น เป็นความโปรดปรานที่อัลลอฮ์ให้แก่เรา โดยให้เกียรติแก่เราด้วยการตั้งให้เป็นร่อซูล และเป็นความโปรดปรานแก่มนุษยชาติด้วยการส่งบรรดาร่อซูลมาแนะนำสั่งสอนสู่แนวทางที่ถูกต้องและเที่ยงธรรม

39. “โอ้ เพื่อนร่วมคุกทั้งสองของฉันเอ๋ย! พระเจ้าหลายองค์ดีกว่า หรือว่าอัลลอฮ์เอกองค์ผู้ทรงอนุภาพ

40. สิ่งที่พวกท่านเคารพอิบาดะฮ์อื่นจากพระองค์ มิใช่อื่นใดนอกจากบรรดาชื่อที่พวกท่านและบรรดาบรรพบุรุษของพวกท่านใช้เรียกมัน อัลลอฮ์มิได้ประทานหลักฐานในเรื่องนี้ลงมา การตัดสินมิได้เป็นสิทธิของใครนอกจากอัลลอฮ์พระองค์ทรงใช้มิให้พวกท่านเคารพอิบาดะฮ์สิ่งใด นอกจากพระองค์เท่านั้น นั่นคือศาสนาที่เที่ยงธรรมแต่ส่วนใหญ่ของมนุษย์ไม่รู้(*1*)

(1) ยูซุฟ อลัยฮิสสลาม ได้ใช้ขั้นตอนในการเรียกร้องไปสู่ศาสนาของอัลลอฮ์ โดยใช้เหตุผลและหลักฐานทางปัญญา และชี้แจงให้เป็นที่ประจักษ์ว่า การให้ความเป็นเอกภาพหรืออัตเตาฮีดนั้น ย่อมมีน้ำหนักเหนือกว่าการยึดถือพระเจ้าหลายองค์ และได้พิสูจน์ให้เป็นที่ชัดแจ้งว่า สิ่งที่พวกเขาขนานนามกันว่าพระเจ้าและกราบไหว้บูชากันอื่นจากอัลลอฮ์นั้น ไม่เหมาะสมที่จะเป็นพระเจ้าเลย และไม่สมควรที่จะเคารพอิบาดะฮ์ด้วย หลังจากนั้นก็ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่เป็นสัจธรรมอย่างแท้จริงและศาสนาที่เที่ยงธรรมคือ การอิบาดะฮ์ต่อพระเจ้าองค์เดียวซึ่งเป็นที่พึ่งของมนุษย์ทั้งหลาย นั่นคือแนวทางอันแยบยนและแนบเนียนในการเรียกร้องไปสู่ศาสนาของอัลลอฮ์โดยเริ่มด้วยการชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องและการแนะนำสั่งสอนที่ดีงาม หลังจากนั้นก็กล่าวถึงการทำนายฝันของชายหนุ่มทั้งสอง

41. “โอ้เพื่อนร่วมคุกทั้งสองของฉันเอ๋ย ! ส่วนคนหนึ่งของท่านทั้งสองเขาจะรินเหล้าให้นายของเขาและส่วนอีกคนหนึ่งจะถูกแขวนตรึง แล้วนกจะกินศรีษะของเขา(*1*) เรื่องถูกกำหนดไว้ตามที่ท่านทั้งสองขอความเห็น”(*2*)

(1) สำหรับผู้ที่ฝันว่าเขาคั้นเหล้า เขาจะออกจากคุกแล้วกลับไปที่เดิมเพื่อรินเหล้าให้นายของเขา ส่วนอีกคนหนึ่งที่ฝันว่าขนมปังอยู่บนศรีษะของเขา จะถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ แล้วนกจะมากินศรีษะของเขา นักตัฟซีรกล่าวว่า มีรายงานว่าเมื่อทั้งสองได้รับฟังคำทำนายนี้แล้วก็ปฏิเสธว่าเขามิได้ฝันเห็นอะไรเลย

(2) ลิขิตของอัลลอฮ์ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ท่านทั้งสองจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

42. และเขากล่าวแก่คนที่เขาคิดว่าจะพ้นโทษในสองคนว่า “จงเล่าเรื่องของฉันแก่นายของท่านด้วย”(*1*) แล้วชัยฎอนได้ทำให้เขาลืมเรื่องของเขา(ยูซุฟ) ณ ที่นายของเขา เขาจึงอยู่ในคุกอีกหลายปี(*2*)

(1) ยูซุปกล่าวแก่คนที่เชื่อว่าจะพ้นโทษว่า จงเล่าเรื่องของฉันแก่นายของท่าน บางทีเขาจะช่วยฉันให้พ้นจากสิ่งที่ฉันถูกข่มเหงก็ได้ (2) ยูซุฟอยู่ในคุก 7 คน บรรดานักตัฟซีรกล่าวว่า ที่เขาอยู่ในคุกหลายปีนั้นเพราะเขาชื่อและหวังต่อมนุษย์ และลืมที่จะถูกเรื่องของเขาต่อพระผู้เป็นเจ้า

43. และกษัตริย์ได้ตรัสว่า “แท้จริงฉันฝันเห็นวัวตัวเมียอ้วนเจ็ดตัวถูกวัวผอมเจ็ดตัวกินพวกมัน และรวงข้าวเขียวเจ็ดรวงถูกรวงข้าวแห้งเจ็ดรวงรัดกินมัน โอ้ขุนนางทั้งหลายเอ๋ย! จงอธิบายแก่ฉันในการฝันของฉันนี้ หากพวกท่านเป็นผู้ทำนายฝันได้”

44. พวกเขากล่าวว่า “เป็นการฝันที่สับสนและพวกเรามิใช่ผู้รู้ในการทำนายฝัน”

45. เขาผู้รอดพ้นคนหนึ่งในสองคนรำลึกขึ้นมาได้หลังจากชั่วเวลาหนึ่ง กล่าวว่า “ฉันจะบอกพวกท่านซึ่งการทำนายฝัน พวกท่านจงส่งฉันไปซิ”(*1*)

(1) อิบนุอับบาสกล่าวว่า ปรากฏว่าคุกมิได้อยู่ในเมือง ดังนั้นจึงกล่าวว่า พวกท่านจงส่งฉันไปซิ เพื่อไปหายูซุฟที่อยู่ในคุก

46. “ยูซุฟผู้ซื่อสัตย์เอ๋ย! จงอธิบายแก่เราเรื่องวัวตัวเมียอ้วนเจ็ดตัวถูกวัวตัวผอมเจ็ดตัวกินมัน และรวงข้าวเจ็ดรวงถูกรวงข้าวแห้งเจ็ดรวงรัดกินมัน หวังว่าฉันจะกลับไปหามวลชน(*1*) เพื่อพวกเขาจะได้รู้เรื่อง”

(1) อิมามอัลฟัตร์กล่าวว่า : ที่กล่าวว่า “หวังว่าฉันจะกลับไปหามวลชน” เพระเห็นว่าบรรดาผู้ทำนายฝันไม่สามารถจะตอบคำทำนายนี้ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล่าวว่า “หวังว่า……

47. เขากล่าวว่า “พวกท่านจะเพาะปลูก 7 ปีต่อเนื่องกัน สิ่งที่พวกท่านเก็บเกี่ยวได้จงปล่อยมันไว้ในรวงของมัน(*1*) เว้นแต่ส่วนน้อยที่ท่านจะกินมัน

(1) ที่ว่า “จงปล่อยมันไว้ในรวงของมัน” ก็เพื่อมิให้หนอนกัดกิน

48. หลังจากนั้น 7 ปีแห่งความแร้นแค้นจะติดตามมา มันจะกินสิ่งที่พวกท่านสะสมไว้สำหรับมัน(*1*)นอกจากส่วนน้อยที่พวกท่านจะเก็บไว้ทำพันธุ์

(1) พวกท่านจงกินสิ่งที่พวกท่านได้อดออมเอาไว้เมื่อยามที่อุดมสมบูรณ์

49. “หลังจากนั้นปีที่มวลชนจะได้รับฝนติดตามมา และในปีนั้นพวกเขาจะได้คั้นองุ่น”(*1*)

(1) หลังจากปีแห้งแล้ง ปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ก็จะติดตามมา จะมีฝนตกชุก ประชาชนจะปลูกข้าวและผลไม้อื่น ๆ

50. และกษัตริย์ตรัสว่า “จงนำเขามาหาฉันซิ!” เมื่อคนนำข่าวมาหาเขา เขากล่าวว่า “จงกลับไปยังนายของท่าน แล้วถามพระองค์ถึงเรื่องของพวกผู้หญิงที่เฉือนมือของนาง แท้จริงพระเจ้าของฉันทรงรอบรู้ถึงอุบายของนางเหล่านั้น”(*1*)

(1) ยูซุฟให้คนนำข่าวกลับไปถามนายของเขาถึงเรื่องของพวกผู้หญิงที่เฉือนมือของพวกนางว่า เขารู้เรื่องของพวกนางบ้างไหม? เขารู้หรือไม่ว่าทำไมฉันถูกขังอยู่ในคุก? และฉันถูกข่มเหงเพราะพวกนาง? ยูซุฟปฏิเสธที่จะออกจากคุกจนกว่าจะพิสูจน์ให้เป็นที่แจ้งชัดจากข้อกล่าวหานั้น และให้มวลชนได้ทราบว่าเขาถูกขังโดยไม่มีความผิด

51. กษัตริย์ตรัสว่า “เรื่องราวของพวกเธอเป็นเช่นไร เมื่อพวกเธอยั่วยวนยูซุฟ” พวกนางกล่าวว่า “ขออัลลอฮ์ทรงคุ้มครอง เราไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขาทำชั่ว” ภริยาของผู้ว่าฯ กล่าวว่า “บัดนี้ความจริงได้ปรากฏขึ้นแล้ว ฉันได้ยั่วยวนเขาและแท้จริงเขาคือผู้หนึ่งในหมู่ผู้สัตย์จริงอย่างแน่นอน(*1*)

(1) การรับสารภาพของพวกผู้หญิงที่ถูกเชิญไปในงานเลี้ยง ซึ่งพวกนางได้เฉือนมือของพวกนางเมื่อได้เห็นความงามของยูซุฟและการรับสารภาพของภริยาว่าฯ ย่อมเป็นสักขีพยานให้ประจักษ์ถึงความบริสุทธิ์ของยูซุฟ

52. “ทั้งนี้เพื่อให้เขารู้ว่า แท้จริงฉันมิได้ทรยศต่อเขาโดยลับหลัง และแท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้แนะแนวการวางแผนของพวกทรยศ(*1*)

(1) การที่ยูซุฟได้ส่งคนนำข่าวกลับไป จนเป็นที่ประจักษ์ถึงความบริสุทธิ์ของเขา ก็เพื่อให้ผู้ว่าฯ ได้ทราบด้วยว่า เขามิได้ทรยศในภริยาของผู้ว่าฯ เมื่อเขาอยู่ลับหลัง

53. “และฉันไม่อาจชำระจิตใจของฉันให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ แท้จริงจิตใจนั้นถูกครอบงำไว้ด้วยความชั่วนอกจากที่พระเจ้าของฉันทรงเมตตา แท้จริงพระเจ้าของฉันเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ”

54. และกษัตริย์ตรัสว่า “จงนำเขามาหาฉันซิ! ฉันจะแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้ใกล้ชิดของฉัน” เมื่อยูซุฟได้สนทนากับพระองค์แล้ว พระองค์ตรัสว่า “แท้จริงท่านอยู่ต่อหน้าเราวันนี้ เป็นผู้มีตำแหน่งสูงเป็นที่ไว้วางใจ”(*1*)

(1) เมื่อยูซุฟได้ถูกนำเข้าเผ้าและได้สนทนากับกษัตริย์นั้น พระองค์สังเกตุเห็นความดีงามสติปัญญาอันเฉียบแหลม และปฏิภาณในการสนทนาปราศรัยของเขา พระองค์จึงตรัสดังกล่าว

55. เขากล่าวว่า “ได้โปรดแต่งตั้งฉันให้ควบคุมการคลังของประเทศ แท้จริงฉันเป็นผู้ชื่อสัตย์ผู้รู้”(*1*)

(1) การที่ยูซุฟขอให้แต่งตั้งเขาทำหน้าที่การคลังของประเทศ ก็เพื่อจะรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม สัจธรรม และความดีงามมิใช่เพื่อปลดเปลื้องมลทินตามข้อกล่าวหา และเพื่อพิสูจน์ถึงความรู้ความสามารถของเขาเกี่ยวกับการคลัง

56. และเช่นนั้นแหละ เราได้ให้ยูซุฟมีอำนาจในแผ่นดิน(*1*) เขาจะพำนักอยู่ที่ใดได้ตามต้องการ เราให้ความเมตตาของเราแก่ผู้ที่เราประสงค์ และเราจะมิให้รางวัลของบรรดาผู้ทำความดีสูญหาย

(1) อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ให้ยูซุฟได้รับเกียรติและมีอำนาจในแผ่นดินอียิปต์ หลังจากถูกขังอยู่ในคุกและได้รับเคราะห์กรรมหลายครั้ง

57. และแน่นอน รางวัลในปรโลกนั้นดียิ่งสำหรับบรรดาผู้ศรัทธาและพวกเขายำเกรง

58. และพี่น้องของยูซุฟได้มา แล้วเขาไปหาเขา ยูซุฟจำพวกเขาได้ แต่พวกเขาจำยูซุฟไม่ได้(*1*)

(1) พี่น้องยูซุฟจำเขาไม่ได้เพราะความภูมิฐานแห่งอำนาจ และระยะเวลาอันยาวนานที่จากกัน ตลอดจนรูปร่างก็เปลี่ยนแปลง อิบนุอับบาสกล่าวว่า ระยะเวลาระหว่างที่ถูกโยนลงไปในบ่อลึกกับการเข้าพบยูซุฟครั้งนี้นานถึง 22 ปี ดังนั้นพวกเขาจึงจำยูซุฟไม่ได้ สาเหตุที่พวกเขามาครั้งนี้ก็เพราะพวกเขาประสบความอดอยากในดินแดนที่พวกเขาพำนักอยู่ เนื่องจากความแห้งแล้งได้ปกคลุมไปทั่วประเทศ พวกเขาได้เดินทางไปในอียิปต์เพื่อซื้ออาหารที่ยูซุฟได้กักตุนเอาไว้ เมื่อพวกเขาเข้าไปหายูซุฟ ๆ แสร้งถามว่า อะไรทำให้พวกท่านเข้ามาในแผ่นดินของฉัน? พวกเขาตอบว่า เรามาเพื่อรับการปันส่วนอาหารเขากล่าวต่อไปว่า พวกท่านคงจะเป็นสายลับกระมัง? พวกเขากล่าวว่าเราขอความคุ้มครองด้วยอัลลอฮ์ เขาถามอีกว่า ดังนั้นพวกท่านมาจากไหน? พวกเขาตอบว่า เรามาจากเมืองกันอาน พ่อของเราคือยะอกูบ นะบีของอัลลอฮ์ เขาถามอีกว่า เขามีบุตรอีกไหมนอกจากพวกท่านแล้ว?พวกเขาตอบว่า มี เรามีด้วยกัน 12 คน น้องคนเล็กของเราได้สูญหายไปซึ่งเขาเป็นที่รักยิ่งของพ่อของเรา เหลือน้องอีกคนหนึ่งอยู่กับพ่อ แล้วพวกเรา 10 คนได้มาที่นี่ ยูซุฟได้สั่งให้คนรับใช้จัดที่พักให้พวกเขาอย่างสมเกียรติ

59. และเมื่อเขาได้จัดเตรียมให้แก่พวกเขาซึ่งเสบียงอาหารของพวกเขาแล้ว เขากล่าวว่า “จงนำน้องชายของพวกท่านจากพ่อของพวกท่านมาหาฉันด้วย พวกท่านไม่เห็นหรือว่าแท้จริงฉันได้ตวงให้อย่างครบถ้วน และฉันนั้นดียิ่งในหมู่ผู้ให้การต้อนรับ

60. “หากพวกท่านไม่นำเขามาหาฉัน จะไม่มีการตวงจากฉันให้พวกท่านอีก และพวกท่านอย่าเข้ามาใกล้ฉัน”(*1*)

(1) จงนำน้องของท่านที่ชื่อบินยามีนมาหาฉัน เพื่อฉันจะได้เชื่อพวกท่าน

61. พวกเขากล่าวว่า “เราจะเกลี้ยกล่อมบิดาของเขาให้เขาออกมา และแท้จริงเราจะทำได้อย่างแน่นอน”

62. และเขากล่าวแก่พวกคนใช้ของเขาว่า จงใส่เงินของพวกเขาไว้ในย่ามของพวกเขา หวังว่าพวกเขาคงจำไม่ได้ เมื่อพวกเขากลับไปหาครอบครัวของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้กลับมาอีก(*1*)

(1) ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า ในศาสนาบัญญัติของพวกเขานั้น จะต้องคืนเงินค่าสินค้าหรือค่าตอบแทนที่ส่งกลับคืนมาเพราะพวกเขาจะไม่กินของหะรอมเป็นอันขาด ดังนั้นพวกเขาจะต้องกลับมาอีกเป็นแน่

63. เมื่อพวกเขากลับไปหาพ่อของพวกเขาพวกเขากล่าวว่า “โอ้พ่อของเรา! การตวงถูกห้ามแก่เรา จงส่งน้องของเราไปกับเราเพื่อเราจะได้ส่วนตวง และแท้จริงเราจะเป็นผู้คุ้มกันเขา”(*1*)

(1) พวกเขาได้พูดกับพ่อของพวกเขาก่อนที่จะเปิดย่ามตรวจดูว่า พวกเราจะถูกห้ามตวงในอนาคต หากเราไม่นำน้องชายของเราไปเพราะกษัตริย์อียิปต์หาว่าพวกเราเป็นสายลับ เราจึงเล่าเรื่องของเราให้ฟัง เขาได้ขอดูตัวน้องเราเพื่อพิสูจน์ความจริง

64. เขา(พ่อ) กล่าวว่า “ฉันจะไม่ไว้ใจพวกเจ้าที่มีต่อเขาอีก นอกจากว่าเช่นกับที่ฉันได้ไว้ใจพวกเจ้าที่มีต่อพี่ของเขาเมื่อก่อนนี้ ดังนั้นอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มกันที่ดียิ่ง และพระองค์เท่านั้นทรงเมตตายิ่งในหมู่ผู้เมตตาทั้งหลาย”(*1*)

(1) ยะอฺกูบไม่เชื่อคำพูดของลูก ๆ ของเขา เพราะเขาเคยประสบมาแล้วกับคำรับรองที่ได้เคยให้ไว้กับลูกชายคนโปรดของเขาคือยูซุฟแต่แล้วคำรับรองนั้นก็ไม่เป็นผล เขาจึงกล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงเป็นผุ้คุ้มกันที่ดียิ่ง………

65. และเมื่อพวกเขาเปิดย่ามสะเบียงของพวกเขา ก็เห็นเงินของพวกเขาถูกคืนกลับมายังพวกเขาด้วยพวกเขาจึงกล่าวว่า”โอ้พ่อของเรา! เราต้องการอะไรอีกเล่า? นี่เงินของเราถูกคืนกลับมายังเรา แล้วเรายังได้นำสะเบียงมายังครอบครัวของเราอีก และเราจะคุ้มกันน้องของเรา และเราจะได้เพิ่มการตวงอีกหนึ่งตัวลา นั่นเป็นการตวงที่ง่าย”(*1*)

(1) มีรายงานว่า การปันส่วนที่กำหนดไว้นั้น คนหนึ่งจะได้อาหารเพียงการบรรทุกของลาตัวหนึ่งเท่านั้น แต่พวกเขาได้รับสะเบียงอาหารขนาดการบรรทุกของอูฐต่อหนึ่งคน

66. เขา(พ่อ) กล่าวว่า “ฉันจะไม่ส่งเขาไปกับพวกเจ้า จนกว่าพวกเจ้าจะนำสัญญาจากอัลลอฮ์ให้แก่ฉันเสียก่อนว่า พวกเจ้าจะนำเขากลับมาอย่างแน่นอน เว้นแต่พวกเจ้าจะถูกปิดล้อม”(*1*) เมื่อพวกเขาได้ให้สัญญาของพวกเขาแก่เขาแล้ว (พ่อ) กล่าวว่า ”อัลลอฮ์ทรงเป็นพยานต่อสิ่งที่เราสัญญาไว้”

(1) เว้นแต่พวกเจ้าจะถูกปิดล้อมทุกด้าน ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ และพวกเจ้าไม่มีช่องทางหรือทางออกใด ๆได้ บุญาฮิตกล่าวว่า เว้นแต่พวกเจ้าจะตายไปทั้งหมดนั่นแหละข้าจึงจะยอมรับข้อขัดข้องของพวกเจ้า

67. และเขากล่าวว่า “โอ้ลูกเอ๋ย! พวกเจ้าอย่าเข้าเมืองทางเดียวกัน แต่พวกเจ้าจงเข้าเมืองต่างทางกัน(*1*) และฉันไม่อาจให้ความคุ้มกันพวกเจ้าจากอัลลอฮ์ได้(*2*) การตัดสินเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ฉันขอมอบการไว้ใจแด่พระองค์และขอให้บรรดาผู้มอบการไว้ใจจงไว้ใจแด่พระองค์”

(1) นักตัฟซีรกล่าวว่า หากเข้าทางเดียวกันเกรงว่าผู้คนจะพากันอิจฉา เพราะพวกเขามีความงามเป็นที่น่าเกรงขาม (2) การจัดเตรียมของฉันไม่อาจป้องกันสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงลิขิตไว้กับพวกเจ้าได้

68. และเมื่อได้เข้าเมืองตามที่พ่อของพวกเขาได้สั่งไว้ ไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยพวกเขาให้พ้นจากอัลลอฮ์ได้(*1*) เว้นแต่ความต้องการในจิตใจของยะอฺกูบซึ่งเขาได้ปฏิบัติไป และแท้จริงเขาเป็นผู้มีความรู้ซึ่งเราได้สอนเขา(*2*) แต่ส่วนมากของมนุษย์ไม่รู้

(1) การเข้าเมืองของพวกเขาโดยแยกทางกันเข้า ก็ไม่อาจช่วยให้พวกเขาพ้นจากลิขิตของอัลลอฮ์ได้ (2) โดยทางวะฮี นี่คือการสรรเสริญของอัลลอฮ์ ตะอาลา ที่มีต่อยะอฺกูบ

69. และเมื่อพวกเขาได้เข้าไปหายูซุฟ เขารับน้องชายของเขาไปอยู่กับเขา เขากล่าวว่า “แท้จริงฉันเป็นพี่ชายของเจ้า ดังนั้นเจ้าอย่าเสียใจในสิ่งที่พวกเขากระทำ”(*1*)

(1) นักตัฟซีรกล่าวว่า เมื่อพี่น้องของยูซุฟได้เข้าไปหาเขา ยูซุฟได้ให้เกียรติและต้อนรับอย่างดี โดยจัดให้พักห้องละสองคนเหลือบินยามีนอยู่คนเดียว เขาจึงกล่าวว่าคนนี้ไม่มีคู่ฉันจะอยู่กับเขา ยูซุฟได้กล่าวกับบินยามีนว่า ฉันคือยูซุฟพี่ชายของเจ้าเจ้าอย่าเสียใจในสิ่งที่พวกเขาได้ทำไป แล้วได้บอกให้เขาทราบว่า เขาจะทำอุบายให้บินยามีนอยู่กับเขา และสั่งให้เก็บไว้เป็นความลับ

70. เมื่อเขาได้จัดเตรียมสะเบียงอาหารของพวกเขาให้แก่พวกเขาแล้ว เขาได้ใส่ขันน้ำ(*1*) ลงในย่ามของน้องชายเขา แล้วผู้ประกาศได้ประกาศว่า ”โอ้คณะเดินทางทั้งหลายเอ๋ย! แท้จริงพวกท่านเป็นพวกขโมย”(*2*)

(1) ขันน้ำทองประดับด้วยเพชร (2) นักตัฟซีรกล่าวว่า เมื่อผู้ประกาศไปถึงพวกเขาแล้วกล่าวขึ้นว่า เรามิได้ให้เกียรติแก่พวกท่าน และต้อนรับพวกท่านอย่างดีหรือ? และเรามิได้ตวงให้พวกท่านอย่างครบถ้วนหรือ? และเราได้ปฏิบัติต่อพวกท่านในสิ่งที่เรามิได้ปฏิบัติต่อผู้อื่นมิใช่เหรอ? พวกเขากล่าวว่าใช่ ถูกต้องแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นหรือ? ผู้ประกาศกล่าวว่า ขันน้ำของกษัตริย์ได้หายไป และเราจะไม่สงสัยใครนอกจากพวกท่าน

71. พวกเขากล่าวพลางหันไปทางพวกเขา(ผู้ประกาศ) ว่า “มีอะไรหายไปจากพวกท่าน?” (*1*)

(1) แทนที่จะใช้คำว่า ”เราขโมยอะไร?” แต่ใช้คำว่า “มีอะไรหายไปจากพวกท่าน?” ทั้งนี้เป็นการรักษามารยาทอันดีงาม

72. พวกเขากล่าวว่า “ขันน้ำของกษัตริย์หายไปจากเรา และผู้ใดนำมันมาคืนเขาจะได้รับสะเบียงเป็นรางวัลหนึ่งตัวลา และฉันเป็นผู้รับรอง”

73. พวกเขากล่าวว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์โดยแน่นอนพวกท่านทราบดีว่า เรามิได้มาที่นี่เพื่อทำความเสียหายในแผ่นดิน และเราก็มิใช่พวกขโมย”(*1*)

(1) คำสาบานมีความหมายไปในทางที่ประหลาดใจ และเราไม่เคยเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าลักขโมยมาก่อนเลย เพราะเราเป็นลูกหลานของบรรดานะบี เราจะไม่กระทำสิ่งที่น่าเกลียดเช่นนี้เลย

74. พวกเขากล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นโทษของมันจะเป็นเช่นใด หากพวกท่านเป็นผู้กล่าวเท็จ”(*1*)

(1) ถ้าเช่นนั้นโทษของผู้ขโมยในศาสนาของพวกท่านเป็นอย่างไร หากพวกท่านเป็นผู้กล่าวเท็จในการอ้างเพื่อที่จะให้พ้นโทษ?

75. พวกเขากล่าวว่า “โทษของมันคือ ผู้ใดถูกค้นพบในย่ามของเขา ดังนั้นเขาก็รับโทษของมัน(*1*) เช่นนั้นแหละเราลงโทษบรรดาผู้อธรรม”

(1) การได้รับโทษคือ ผู้นั้นตกเป็นทาสของผู้ที่ถูกขโมยของมาจากเขา ที่กล่าวมานั้นเป็นบทลงโทษของนะบียะอฺกูบและได้ถูกลบล้างด้วยการตัดมือในศาสนาอิสลาม

76. ดังนั้น เขาได้เริ่มค้นในย่ามของพวกเขาก่อนย่ามของน้องชายของเขา แล้วเขาก็ได้เอามันออกมาจากย่ามของน้องชายของเขา เช่นนั้นแหละเราได้ถูกยูซุฟใช้กลอุบาย เขาจะเอาน้องชายของเขาไว้ไม่ได้ในศาสนาของกษัตริย์(*1*)นอกจากว่าอัลลอฮ์จะทรงประสงค์ เราจะเชิดชูฐานะหลายชั้นแก่ผู้ที่เราประสงค์ และเหนือทุก ๆ ผู้ที่มีความรู้คือผู้ทรงรอบรู้(*2*)

(1) ทั้งนี้เพราะการลงโทษขโมยในศาสนาของกษัตริย์อียิปต์นั้นคือ จะถูกเฆี่ยนและปรับ 2เท่าของราคาของที่เขาขโมย

(2) คือเหนือ ๆ ทุกผู้ที่มีความรู้มากกว่า จนกระทั่งไปถึงผู้ทรงรอบรู้คือพระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลก

77. พวกเขากล่าวว่า “หากเขาขโมย แน่นอนพี่ชายของเขาก็ได้ขโมยมาก่อน” แต่ยูซุฟได้ซ่อนความรู้สึกไว้ในใจของเขา และไม่เปิดเผยมันแก่พวกเขา เขากล่าว “พวกท่านมีสถานะที่เลวมาก(*1*) และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ดียิ่งที่พวกท่านกล่าวหา”

(1) โดยที่พวกท่านขโมยน้องชายของพวกท่านจากพ่อของพวกท่าน แล้วพวกท่านก็เริ่มกล่าวเท็จแก่ผู้ปราศจากมลทิน ยูซุฟกล่าวเช่นนี้อยู่ในใจของเขา

78. พวกเขากล่าวว่า “โอ้ท่านผู้ว่าฯ เขามีพ่อที่แก่ชรามากแล้ว ขอได้โปรดเอาคนหนึ่งในพวกเราไว้แทน(*1*) แท้จริงเราเห็นว่าท่านนั้นอยู่ในหมู่ผู้ทำความดี”

(1) เพราะพวกเรามิใช่ลูกคนโปรดของพ่อของเรา

79. เขากล่าวว่า “เราขอความคุ้มครองด้วยอัลลอฮ์ ที่เราจะเอาคนอื่น นอกจากผู้ที่เราพบทรัพย์สินของเราอยู่ที่เขา(*1*) ดังนั้น แท้จริงเราก็เป็นผู้อธรรมอย่างแน่นอน”

(1) อัลอะลูซีย์กล่าวว่า ในสำนวนของยูซุฟที่ว่า “ผู้ที่เราพบทรัพย์สินของเราอยู่ที่เขา”แทน“ผู้ที่ขโมย….” นั้น ก็เพื่อเป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงและระวังการกล่าวเท็จ

80. ดังนั้น เมื่อพวกเขาหมดอาลัยจากเขาพวกเขาก็หันหน้าเข้าปรึกษากันตามลำพัง พี่คนโตของพวกเขากล่าวว่า “พวกท่านไม่รู้ดอกหรือว่าพ่อของพวกท่านได้เอาสัญญาอย่างมั่นคงจากอัลลอฮ์แก่พวกท่าน และก่อนนี้พวกท่านก็ได้ทำผิดพลาดในเรื่องของยูซุฟ(*1*)มาแล้ว ฉันจะไม่ออกจากดินแดนนี้จนกว่าพ่อของฉันจะอนุญาตแก่ฉัน หรืออัลลอฮ์จะทรงตัดสินแก่ฉัน และพระองค์ทรงเป็นผู้ตัดสินที่ดียิ่ง

(1) ก่อนหน้านี้พวกท่านมิได้รำลึกบ้างหรือถึงการทำผิดของพวกท่านต่อยูซุฟ แล้วพวกท่านจะกลับไปหาพ่อในสภาพอย่างไร?

81. พวกท่านจงกลับไปยังพ่อของพวกท่านแล้วกล่าวว่า โอ้คุณพ่อของเรา! แท้จริงลูกของท่านขโมยและเราไม่เป็นพยานเว้นแต่ในสิ่งที่เรารู้และเรามิใช่ผู้เก็บความลับ(*1*)

(1) เราจะไม่เป็นพยานเว้นแต่ในสิ่งที่เรารู้และมั่นใจ เพราะเราเห็นขันของกษัตริย์อยู่ในย่ามของเขา และเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะขโมย เมื่อเราให้สัญญากับท่าน

82. และจงถามชาวเมืองซึ่งเราพำนักอยู่ในนั้นและกองคาราวานซึ่งเราเดินทางร่วมมากับมัน และแท้จริงเรานั้นเป็นผู้สัตย์จริงอย่างแน่นอน”(*1*)

(1) เราเป็นผู้สัตย์จริงในสิ่งที่เราบอกกับท่านเกี่ยวกับเรื่องของเขา

83. เขากล่าวว่า “แต่ว่าจิตใจของพวกเจ้าได้ตกแต่งเรื่องขึ้นเพื่อพวกเจ้า ดังนั้นการอดทนเป็นสิ่งที่ดี หวังว่าอัลลอฮ์จะทรงนำพวกเขาทั้งหมดมาหาฉัน(*1*) แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ”

(1) หวังว่าอัลลอฮ์คงจะรวมพวกเขาทั้งหมดในที่เดียวกัน และจะทำให้ฉันชื่นชมด้วยการเห็นพวกเขาทั้งหมด

84. และเขาผินหลังให้พวกเขา(*1*) และกล่าว่า “โอ้อนิจจา ยูซุฟเอ๋ย!”(*2*) และตาทั้งสองข้างของเขามัวเนื่องจากความเศร้าโศก(*3*)และเขาเป็นผู้อดกลั้น

(1) ผินหลังให้เพราะเกลียดที่จะฟังคำพูดของพวกเขา (2) โอ้ ความเสียใจและความเศร้าสลดของฉันต่อยูซุฟ (3) ตาทั้งสองของยะอฺกูบเสีย เพราะร้องไห้เสียใจต่อลูกทั้งสองของเขา นักตัฟซีรกล่าวว่ายะอฺกูบได้เสียตาทั้งสองของเขาเพราะร้องไห้เสียใจต่อยูซุฟ ตาทั้งสองมองไม่เห็นเป็นเวลาถึง 6 ปี จนกระทั่งอัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงเปิดตาให้เขามองเห็นด้วยเสื้อของยูซุฟโดยนำอายะฮ์ที่ 96 ของซูเราะฮ์นี้มาเป็นหลักฐานยืนยัน “….เขาได้วางเสื้อของยูซุฟไว้ข้างหน้าเขา ดังนั้นเขาจึงกลับเป็นผู้มองเห็น….”

85. พวกเขากล่าวว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ท่านยังคงรำลึกถึงยูซุฟอยู่ จนกระทั่งท่านเจ็บจวนจะตายหรือท่านจะพินาศไป”

86. เขากล่าวว่า “แท้จริงฉันร้องเรียนความเศร้าสลดของฉันและความทุกข์ระทมของฉันต่ออัลลอฮ์ (*1*) และฉันรู้ (เรื่องความเมตตา)จากอัลลอฮ์ซึ่งพวกเจ้าไม่รู้"

(1) ยะอฺกูบกล่าวแก่พวกเขาว่า ข้ามิได้ร้องเรียนความเศร้าสลดและความทุกข์ระทมของข้าต่อพวกเจ้า แต่ทว่าข้าร้องเรียนต่ออัลลอฮ์ พระผู้ซึ่งการร้องเรียนต่อพระองค์นั้นอำนวยประโยชน์ และข้าหวังว่าพระองค์จะทรงเมตตาต่อข้า และเปิดทางออกให้แก่ข้าในที่สุด

87. “โอ้ลูกรัก พวกเจ้าจงไปสืบข่าวของยูซุฟ และน้องของเขา และพวกเจ้าอย่าเบื่อหน่ายต่อความเมตตาของอัลลอฮ์ แท้จริงไม่มีผู้ใดเบื่อหน่ายต่อความเมตตาของอัลลอฮ์ นอกจากหมู่ชนผู้ปฏิเสธ”

88. ดังนั้น เมื่อพวกเขาได้เข้ามาหาเขา (ยูซุฟ) พวกเขากล่าวว่า “โอ้ท่านข้าหลวง ความทุกข์ได้ประสบกับเราและครอบครัวของเราและได้นำสินค้าราคาต่ำมา (*1*) ดังนั้นขอท่านได้โปรดตวงให้เราอย่างครบถ้วน และโปรดบริจาคให้เราด้วย (*2*) แท้จริงอัลลอฮ์ทรงตอบแทนผู้บริจาคทาน”

(1) สินค้าเลวพวกพ่อค้าตีราคาให้ต่ำ (2) จงตวงให้เราอย่างครบถ้วนอย่าให้ขาดเพราะความเลวของสินค้าของเรา และจงส่งน้องของเราคืนมาด้วย เมื่อการเกลี้ยกล่อมและความคับอกคับใจของพวกเขาถึงขั้นนี้แล้ว ยูซุฟก็เกิดความสงสารพวกเขา เขาจึงต้องเปิดเผยตัวหลังจากที่ได้ปกปิดมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว

89. เขากล่าวว่า “พวกท่านทราบไหม สิ่งที่พวกท่านได้ทำกับยูซุฟและน้องชายของเขา เมื่อพวกท่านเป็นผู้งมงาย”(*1*)

(1) พวกท่านรำลึกบ้างหรือไม่ถึงสิ่งที่พวกท่านได้ทำกับยูซุฟและน้องชายของเขา ขณะที่พวกท่านอยู่ในวัยฉกรรจ์ อะบุสสะอูดกล่าวว่า ที่เขากล่าวเช่นนี้เป็นการสั่งสอนพวกเขา และให้รีบเร่งขออภัยโทษเนื่องเพราะเขาสงสารพวกเขา

90. พวกเขากล่าวว่า “แน่นอน ท่านคือยูซุฟใช่ไหม?” เขากล่าวว่า “ฉันคือยูซุฟและนี่คือน้องของฉัน แน่นอนอัลลอฮ์ทรงโปรดปรานเรา(*1*) แท้จริงผู้ใดที่ยำเกรงและอดทน แน่นอนอัลลอฮ์จะมิทรงให้รางวัลของบรรดาผู้ทำความดีสูญหาย”

(1) อัลลอฮ์ทรงโปรดปรานเราให้พ้นจากการทดสอบ และให้เราได้มารวมกันหลังจากห่างเหินกันไปนาน และให้เราได้รับเกียรติหลังจากที่เราได้ประสบกับความต่ำต้อย

91. พวกเขากล่าวว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์โดยแน่นอนอัลลอฮ์ทรงให้เกียรติท่านเหนือพวกเรา โดยที่พวกเราเป็นผู้ผิดอย่างแน่นอน”(*1*)

(1) เป็นการสารภาพผิด อัลลอฮ์ทรงให้เกียรติท่านเหนือพวกเราด้วยการตักวา การอดทนวิชาความรู้ และความอ่อนโยนของท่าน พวกเรานั้นเป็นผู้ผิดโดยการกระทำของเราที่ได้ทำกับท่าน ดังนั้นอัลลอฮ์ทรงให้เกียรติท่านและลดเกียรติเรา

92. เขากล่าวว่า “วันนี้ไม่มีการประณามพวกท่าน(*1*) อัลลอฮ์จะทรงอภัยโทษพวกท่าน และพระองค์ทรงเมตตายิ่งในบรรดาผู้เมตตา

(1) ยูซุฟกล่าวกับพวกเขาว่า วันนี้ไม่มีการประณามและการลงโทษพวกท่าน แต่ฉันจะอภัยและยกโทษให้พวกท่าน

93. “พวกท่านจงนำเสื้อของฉันตัวนี้ไปวางไว้ที่ข้างหน้าพ่อของฉัน (*1*) เขาจะกลับเป็นผู้มองเห็น และจงนำครอบครัวของพวกท่านทั้งหมดมายังฉัน”

(1) อัฏฏ็อบรีกล่าวว่า : กล่าวกันว่าเมื่อยูซุฟได้แนะนำตัวแก่พี่น้องของเขาแล้ว ก็ได้ถามพวกเขาถึงพ่อของเขา พวกเขากล่าวว่าตาของเขาเสียเพราะเศร้าสลด ดังนั้นยูซุฟจึงให้เสื้อของเขาแก่พวกเขา และต้องการที่จะแจ้งข่าวดีแก่พ่อของเขาถึงการที่เขายังมีชีวิตอยู่

94. เมื่อกองคาราวานได้ออกมา (จากอียิปต์)(*1*) พ่อของพวกเขากล่าวว่า “แท้จริงฉันได้กลิ่นของยูซุฟ(*2*) หากพวกท่านไม่กล่าวหาฉันว่าเหลวไหล”

(1) มุ่งสู่ประเทศชาม (2) ยะอฺกูบได้กล่าวเช่นนั้นแก่หลาน ๆ ของเขา อิบนุอับบาสกล่าวว่า กลิ่นได้โชยมา โดยนำกลิ่นเสื้อของยูซุฟ ระยะทางจากอียิปต์ถึงประเทศชามโดยกองคาราวานเป็นเวลาถึง 8 วัน

95. พวกเขากล่าวว่า “ขอสาบานด้วยอัลลอฮ์แท้จริงท่านนั้นยังอยู่ในการหลงของท่านเช่นเดิม”(*1*)

(1) นักตัฟซีรกล่าวว่า การที่พวกหลาน ๆ กล่าวเช่นนั้นก็เพราะพวกเขามีความเชื่อมั่นว่ายูซุฟได้ตายไปแล้ว

96. เมื่อผู้นำข่าวดีมาถึง(*1*) เขาได้วางเสื้อของยูซุฟไว้ที่ข้างหน้าเขา ดังนั้นเขาจึงกลับเป็นผู้มองเห็นเขากล่าวว่า “ฉันมิได้บอกพวกเจ้าหรือว่า แท้จริงฉันรู้จากอัลลอฮ์ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้”(*2*)

(1) มุญาฮิดกล่าวว่า ผู้นำข่าวดีคือพี่ของเขาชื่อยะฮูซา ผู้นำเสื้อเปื้อนเลือดปลอมมาให้พ่อของเขา เขาได้กล่าวว่า ฉันจะทำให้เขาดีใจเหมือนกับที่ฉันได้ทำให้เขาเสียใจมาก่อนแล้ว

(2) เกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ของยูซุฟ และอัลลอฮ์จะทรงให้เขากลับคืนมาหาฉัน เพื่อให้การฝันเป็นความจริง นักตัฟซีรกล่าวว่ายะอฺกูบกล่าวเตือนพวกเขาถึงคำพูดของเขาที่ว่า “แท้จริงฉันร้องเรียนความเศร้าสลดของฉันและความทุกข์ระทมของฉันต่ออัลลอฮ์ และฉันรู้จากอัลลอฮ์สิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้” กล่าวกันว่า เขาได้ถามผู้นำข่าวดีว่า ยูซุฟมีความเป็นอยู่อย่างไร? เขาตอบว่า เขาเป็นผู้ปกครองอียิปต์ เขาถามอีกว่า เขาปฏิบัติอย่างไรกับการครองอำนาจ? เขาอยู่ในศาสนาใด?เขาตอบว่า เขาอยู่ในศาสนาอิสลาม ยะอฺกูบกล่าวขึ้นว่า ณ บัดนี้ความโปรดปรานได้ครบสมบูรณ์แล้ว อัลฮัมดุลิลลาฮ์

97. พวกเขากล่าวว่า “โอ้พ่อของเรา! โปรดขออภัยโทษความผิดของเราให้แก่เรา แท้จริงเราเป็นผู้ผิด”

98. เขากล่าวว่า “ฉันจะขออภัยโทษต่อพระเจ้าของฉันให้พวกเจ้า(*1*) แท้จริงพระองค์เท่านั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ”

(1) ยะอฺกูบได้สัญญากับพวกเขาว่าจะขออภัยโทษให้ นักตัฟซีรกล่าวว่า เขาได้เลื่อนเวลาการขออภัยโทษออกไปจนกระทั่งเวลาดึกสงัด เพื่อหวังในการตอบรับ กล่าวกันว่า เขาได้เลื่อนไปจนกระทั่งวันศุกร์ เพื่อหวังในเวลาการตอบรับ

99. ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปหายูซุฟ เขาได้สวมกอดพ่อแม่ของเขาและกล่าวว่า “พวกท่านจงเข้ามาในอียิปต์โดยปลอดภัยเถิด อินชาอัลลอฮ์”

100. และเขาได้ยกย่องพ่อแม่ของเขาขึ้นบนบัลลังก์แล้วพวกเขาก็ก้มลงสุญูด(คารวะ) เขา(*1*) และกล่าวว่า “โอ้พ่อของฉัน นี่คือการทำนายฝันของฉันแต่ครั้งก่อน พระเจ้าของฉันทรงทำให้เป็นจริง และพระองค์ทรงให้เกียรติฉัน โดยพระองค์ทรงให้ฉันออกจากคุก(*2*) และนำพวกท่านมาจากชนบท(*3*) หลังจากที่ชัยฏอนได้ยุยงให้เกิดการแตกแยกระหว่างฉันกับพี่น้องของฉัน แท้จริงพระเจ้าของฉันทรงโปรดปรานแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ แท้จริงพระองค์เท่านั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ(*4*)

(1) พ่อแม่และพี่น้องของเขาก้มลงสุญูดคารวะเขาขณะที่ได้เข้าไปหาเขา นักตัฟซีรกล่าวว่าการสุญูดของพวกเขาเป็นการสุญูดเคารพและให้เกียรติ มิใช่เป็นการอิบาดะฮ์

(2) พระองค์ทรงโปรดปรานฉันด้วยการให้ฉันออกจากคุก นักตัฟซีรกล่าวว่า เขามิได้กล่าวถึงเรื่องถูกโยนลงไปในบ่อ เป็นการให้เกียรติจากเขา เพื่อมิให้พี่ ๆ ของเขาละอาย (3) เพราะพวกเขาเป็นคนเลี้ยงอูฐและแกะในชนบทของปาเลสไตน์ เขาได้กล่าวเตือนพวกเขาถึงความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่มีต่อวงศ์วานของยะอฺกูบ โดยนำพวกเขาจากชนบทไปสู่เมือง และได้มารวมกันทั้งหมดที่อียิปต์ อัฏฏ็อบรีย์กล่าวว่า กล่าวกันว่ายะอฺกูบได้เข้าสู่อียิปต์พร้อมทั้งวงศาคณาญาติทั้งหมดประมาณเกือบหนึ่งร้อยคน และวงศ์วานของเขาได้ออกจากอียิปต์ไปมีจำนวน 6 แสนกว่าคน

(4) นักตัฟซีรกล่าวว่า ยะอฺกูบอะลัยฮิสสลาม ได้พำนักอยู่กับยูซุฟในอียิปต์เป็นเวลา 24 ปีก่อนจะตายเขาได้สั่งเสียให้นำเขาไปฝังที่ประเทศชาม ใกล้กับพ่อของเขาคือนะบีอิสฮาก ยูซุฟได้นำศพพ่อของเขาไปฝังที่นั่นด้วยตัวเอง หลังจากนั้นได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ในอียิปต์อีก 23 ปีเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขารู้ตัวว่าคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นานและใคร่ที่จะไปพบกับอัลลอฮ์ตะอาลา และบรรพบุรุษที่ศอและฮ์ของเขาคือ อิบรอฮีมและอิสฮาก

101. “โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงพระองค์ทรงได้ประทานอำนาจบางส่วนแก่ข้าพระองค์และทรงสอนข้าพระองค์ให้รู้การทำนายฝัน พระผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน พระองค์เป็นผู้คุ้มครองข้าพระองค์ทั้งในโลกดุนยาและอาคิเราะฮ์ ขอพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ตายในสภาพเป็นผู้นอบน้อม และทรงให้ข้าพระองค์รวมอยู่ในหมู่คนดีทั้งหลาย”(*1*)

(1) พระองค์ได้ประทานเกียรติและอำนาจแก่ข้าพระองค์ นั่นเป็นส่วนหนึ่งจากความโปรดปรานในโลกดุนยา และทรงสอนข้าพระองค์ให้รู้จักการทำนายฝัน นั่นเป็นส่วนหนึ่งจากความโปรดปรานทางด้านวิชาการ พระองค์เป็นผู้คุ้มครองรักษากิจการทั้งหมดของข้าพระองค์ ทั้งในโลกดุนยาและอาคิเราะฮ์…. ณ ที่นี้เรื่องของยูซุฟ อัศศิดดีก ก็ได้จบลงหลังจากนี้ก็เริ่มการวิจารณ์พร้อมทั้งพิสูจน์หลักฐานถึงความถูกต้องในการเป็นนะบีของมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.alquran-thai.com/ShowSurah.asp?SurahNo=12

.

*******

.

.

 
 
 

コメント


Address

Bangkok, Thailand

Contact

Follow

  • Facebook

02 543 2227,098 283 3945

©2017 by โรงเรียนภูมินทรวิทยา. Proudly created with Wix.com

bottom of page